คู่มือชีวิต ตอนที่ 2 มงคลชีวิต 38 ประการ



คู่มือชีวิต ตอนที่ 2 มงคลชีวิต 38 ประการ


มงคลหมู่ที่ 6 ปรับเตรียมสภาพใจให้พร้อม

มงคลที่ 19 งดเว้นจากบาป
มงคลที่ 20 สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรม
ในการปรับเตรียมสภาพใจให้พร้อม เพื่อจะฝึกใจให้มีคุณธรรมมากขึ้น มีกิเลสเบาบางลงตามลำดับนั้น เราต้องทำดังนี้
1.งดเว้นจากบาป คนที่ยังทำบาปสารพัดอยู่ ไม่ยอมเลิก ไม่มีทางที่จะฝึกใจได้เลย เพราะบาปนั้นจะมาหุ้มใจ ทำให้ใจเสียคุณภาพ รองรับธรรมะไม่ได้ ดังนั้นสำหรับผู้ต้องการฝึกใจ อะไรที่เป็นความชั่วที่ทำไปแล้ว ทำให้ใจของเราเศร้าหมอง เสียคุณภาพอันดีไป ที่เคยทำอยู่ก็จะต้องงดเสีย ที่ไม่เคยทำก็จะต้องละเว้นไม่ยอมทำโดยเด็ดขาด
2.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา เพราะของมึนเมาเสพย์ติดทั้งหลายจะทำให้เราขาดสติ และใจที่ขาดสตินั้นก็ไม่สามารถฝึกได้ ใครไม่เชื่อจะลองดูก็ได้ ลองไปพูดธรรมะให้คนเมาเหล้าฟัง ดูซิว่าเขาจะรู้เรื่องไหม
3.ไม่ประมาทในธรรม ผู้ที่ประมาทมักจะปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมคิดแต่ว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรายังอายุน้อยอยู่” หรือ “ไม่เป็นไรหรอกน่า เรายังมีชีวิตอีกนาน ทำเมื่อไรก็ได้” เขาเหล่านี้เมาแล้วในความเป็นหนุ่มเป็นสาว ในความไม่มีโรค ในความคิดว่ายังไม่ตาย จึงไม่ยอมทำความดี
ส่วนผู้ที่ไม่ประมาทในธรรม จะคิดเสมอว่าคนเราอาจป่วยขึ้นมาเมื่อใด หรือตายเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ มัจจุราชไม่มีเครื่องหมายนำหน้า ไม่มีการบอกก่อนเพราะฉะนั้นจึงไม่ประมาท รีบขวนขวายสร้างบุญสร้างกุศลตั้งใจฝึกตนเอง ซึ่งใจของคนอย่างนี้จะมีความกระตือรือร้น พร้อมที่จะรับการฝึกกุศลธรรมทั้งหลายให้สามารถเจริญขึ้นได้โดยง่าย

มงคลหมู่ที่ 7 การแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัว

มงคลที่ 22 มีความเคารพ
มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน
มงคลที่ 24 มีความสันโดษ
มงคลที่ 25 มีความกตัญญู
มงคลที่ 26 ฟังธรรมตามกาล
เมื่อเราเตรียมสภาพใจของเราไว้พร้อมแล้ว จากมงคลหมู่ที่ 6 เมื่อถึงมงคลหมู่ที่ 7 นี้ ก็เริ่มลงมือแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัวทีเดียว คราวนี้ผู้จะแสวงหาธรรมะใส่ตัวได้ ก็จำเป็นต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1.ต้องมีความเคารพ รู้และตระหนักถึงคุณความดีที่มีอยู่จริงของผู้อื่น ใครมีข้อดีอะไรก็รู้ ทำให้รู้ว่าจะเข้าไปหาคุณธรรมได้จากใคร
คนไม่มีความเคารพ จะเป็นคนที่มองใครก็ไม่เห็นมีอะไรดี เลวไปหมดก็เลยไม่สามารถหาธรรมะใส่ตัวได้ เพราะเมื่อมองไม่เห็นข้อดีของใครแล้วก็เลยไม่รู้จะไปเอาธรรมะจากใคร
2.ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดื้อถือดี ไม่เบ่ง ไม่ยโสโอหัง รู้จักค่าของตนเองตรงตามความเป็นจริง พร้อมที่จะน้อมตัวลงรับเอาคุณความดีจากผู้อื่นมาใส่ตัวได้
คนที่มีความเคารพ รู้ว่าคนอื่นมีดีอะไร ถ้าหากขาดความอ่อนน้อมถ่อมตนเสียแล้ว ใจเขาจะพองขึ้นแข่งทันทีว่า ถึงใครจะแน่แต่ฉันก็หนึ่งเหมือนกัน ใจจะคอยแต่เบ่งคิดว่าตัวเก่งกว่าทุกที ก็เลยรับคุณธรรมของใครไม่ได้ เพราะคิดว่าตัวเก่งกว่าเสียแล้วนั่นเอง
เราดูมหาสมุทรเป็นที่รวมของน้ำได้ ก็เพราะพื้นผิวอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำลำธารทั้งหลาย ถ้าเมื่อใดมหาสมุทรยกตัวสูงขึ้น น้ำก็จะไหลย้อนกลับรับน้ำไม่ได้อีกต่อไป คนเราก็เช่นกัน ถ้าขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน อวดเบ่ง ยกตัวเราสูงขึ้นกว่าแล้ว ก็จะรับเอาคุณธรรมใครไม่ได้
3.ต้องมีความสันโดษ เป็นคนรู้จักพอ รู้จักประมาณ สุขใจพอใจกับของของตน ทำให้จิตใจสงบ สามารถรองรับคุณธรรมจากผู้อื่นได้เต็มที่
คนที่ขาดสันโดษ ใจของเขาจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนกระวนกระวายกระหายอยากได้ มีสิบล้านก็ไม่พอ จะเอาร้อยล้าน มีร้อยล้านก็ไม่พอจะเอาพันล้าน หมื่นล้าน ไม่รู้จักอิ่ม ซึ่งใจของคนชนิดนี้ไม่สามารถจะรองรับคุณธรรมได้ ไปฟังพระเทศน์เท่าไรก็ไม่ซึมเข้าไปอยู่ในใจ ลืมตาหลับตาเขามองเห็นแต่ตัวเลข คิดแต่ว่าอยากรวยๆ ธรรมะนึกไม่ออก
4.ต้องมีความกตัญญู ใครเคยทำคุณอะไรไว้ให้ตัวก็ตระหนักซาบซึ้งถึงบุญคุณ พยายามหาทางตอบแทน ทำให้เป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู น่านับถือใครๆ ก็เมตตาอยากถ่ายทอดวิชาความรู้ คุณความดีต่างๆให้
เพราะแม้เราจะมีความเคารพ รู้ข้อดีของคนอื่น มีจุดหมายแล้วว่าจะไปถ่ายทอดเอาคุณธรรมนั้นๆ ได้จากใคร มีความถ่อมตน ใจเราก็พร้อมจะน้อมไปรับคุณธรรมนั้น และมีความสันโดษ คือใจก็สงบพอที่จะรับเอาธรรมะนั้นๆมาไตร่ตรองให้เข้าใจได้ แต่ก็ยังไม่แน่นะว่าเขาจะยอมสอนเราหรือเปล่า เราต้องเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณคนด้วย คนอื่นจึงจะเมตตาสอนให้เรา
5.ฟังธรรมตามกาล เมื่อฝึกตัวเองมาครบ 4 ข้อข้างต้นแล้ว ก็ไปฟังธรรมะจากผู้ทรงคุณธรรมในทุกๆ โอกาสที่อำนวยให้
และอาศัยธรรมะที่ฟังนั้นๆ มาเป็นกระจกส่องใจเราให้เห็นว่า ตัวเรามีคุณธรรมมากน้อยเพียงใด มีข้อบกพร่องตรงไหน จะได้ปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น

มงคลหมู่ที่ 8 การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่

มงคลที่ 27 มีความอดทน
มงคลที่ 28 เป็นคนว่าง่าย
มงคลที่ 29 เห็นสมณะ
มงคลที่ 30 สนทนาธรรมตามกาล
เมื่อเราฝึกจนได้คุณธรรมเบื้องต้นต่างๆ จากการฟังธรรมตามกาลแล้ว ก็ต้องฝึกหาคุณธรรมเบื้องสูงต่อไป โดย
1.มีความอดทน ทั้งทนแดด ทนฝน ทนร้อน ทนหนาว ทนความปวดเมื่อยทางกาย ทนต่อความเจ็บใจ ทนต่ออำนาจของกิเลส ทนสารพัดอย่างละ จะเอาธรรมะต้องทนได้
2.เป็นคนว่าง่าย คือไม่ว่าจะสั่งสอนด้วยคำพูดอย่างไร ไพเราะหรือไม่ก็ตาม ไม่โต้เถียง ไม่แสดงท่าทีอึดอัดขัดใจ แต่น้อมรับฟังด้วยดี พูดง่ายๆ คือต้องสามารถอดทนต่อคำสั่งสอนได้นั่นเอง ท่านจะจ้ำจี้จ้ำไชอย่างไรต้องรับฟังและทำตามคำสั่งสอนด้วยดี
3.เห็นสมณะ คือไปหาตัวอย่างที่ดีดูเป็นแบบอย่าง หาพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรม สงบกาย สงบวาจา สงบใจ
ธรรมะหลายๆ ข้อ ถ้าอธิบายธรรมดาๆ หลายคนก็เข้าใจยาก ไม่ค่อยจะยอมเชื่อ แต่พอเห็นสมณะ เห็นตัวอย่างแล้วก็เชื่อโดยไม่ต้องอธิบายก็มีมาก เช่น การรักษาศีล พระสอนว่าศีลทำให้เกิดสุข อธิบายมากมายเขาก็ยังไม่ยอมเชื่อ เถียงคอเป็นเอ็นว่าจะสุขไปได้อย่างไร มีข้อจำกัดสารพัด สู้คนไม่มีศีลไม่ได้สุขกว่า จะกินเหล้าก็กิน จะลักขโมยก็ลัก จะบี้มดตบยุงตามสบาย สุขกว่าเยอะ
แต่พอเห็นสมณะเข้าเท่านั้นแหละ ได้คิด “เอ! ท่านก็รักษาศีลนะ แล้วดูซิ หน้าตาผิวพรรณท่านก็ผ่องใส อิ่มเอิบดูมีความสุขจริงๆ” เท่านี้แหละไม่ต้องอธิบาย เกิดความเข้าใจแล้ว
4.สนทนาธรรมตามกาล คือเมื่อเห็นตัวอย่างจากสมณะแล้วเข้าใจธรรมะมากขึ้น แต่ถ้าหากยังมีข้อสงสัยอะไร ก็ให้ไปสนทนาซักถามจากท่านจนเข้าใจกระจ่าง หาธรรมะเบื้องสูงทั้งหลายใส่ตัวให้เต็มที่
เราจะเห็นว่าในมงคลหมู่ที่ 7 การหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัวจากการฟังธรรมตามกาล เนื่องแค่ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้เราเตรียมแค่การมีความเคารพ มีความถ่อมตน มีความสันโดษ และมีกตัญญูเท่านั้น
พอมาถึงมงคลหมู่ที่ 8 นี้  จะหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวจากการสนทนาธรรมตามกาล พอต้องสนทนาเท่านั้นแหละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้เราเตรียมตัวเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ข้อ สั่งว่าเจ้าจะต้องมีความอดทนเสียก่อนนะ ทั้งทนแดด ทนร้อน ทนหนาว ทนต่อการกระทบกระทั่ง ทนต่ออำนาจกิเลส รวมทั้งต้องเป็นคนว่าง่าย คือต้องพร้อมที่จะรับฟังและทำตามคำสั่งสอนให้ได้เสียก่อนจึงค่อยไปหาสมณะแล้วสนทนาธรรมกับท่าน ไม่อย่างนั้นละก็ เดี๋ยวท่านสอนธรรมะลึกๆ อะไรให้ เผอิญมันขัดกับกิเลสในตัวเรา ท่านจ้ำจี้จ้ำไชหนักเข้าเลยพาลโกรธปึงปังไปแล้วจะพลาด ถ้าฝึกความอดทน ความว่าง่ายมาไม่พอ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางตำแหน่งมงคลต่างๆ ได้เหมาะเจาะเหลือเกิน ยิ่งเราศึกษามากเพียงใด ก็จะยิ่งซาบซึ้งในพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มากขึ้นเพียงนั้น

มงคลหมู่ที่ 9 การฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป

มงคลที่ 31 บำเพ็ญตบะ
มงคลที่ 32 ประพฤติพรหมจรรย์
มงคลที่ 33 เห็นอริยสัจจ์
มงคลที่ 34 ทำนิพพานให้แจ้ง
เมื่อจบมงคลหมู่ที่ 8 คือการแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวเต็มที่แล้ว มงคลหมู่ที่ 9 นี้จะเป็นการลงมือปฏิบัติฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อกำจัดกิเลสให้หมดไป โดย
1.บำเพ็ญตบะ ทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อนทนอยู่ไม่ได้ ต้องเผ่นหนีไปจากใจของเรา ธุดงควัตรมีกี่ข้อๆ ตั้งใจสมาทานรักษาเต็มที่ทีเดียว
2.ประพฤติพรหมจรรย์ คือเมื่อบำเพ็ญตบะจนกิเลสเบาบางลงไปแล้ว ก็ต้องตัดโลกียวิสัย ตัดเยื่อใยทุกอย่าง รีบปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ ลงในใจก่อนที่กิเลสจะฟูกลับขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องยกใจออกจากกามอันเป็นที่มาของความเสื่อม และจะนำความทุกข์นำกิเลสมาสู่ใจของเราอีก
3.เห็นอริยสัจจ์ คือตั้งใจปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิต่อไปอีกอย่างยิ่งยวด จนเกิดปัญญาเห็นอริยสัจจ์ คือเห็นความจริงเกี่ยวกับโลกและชีวิตด้วยธรรมจักษุ
4.ทำนิพพานให้แจ้ง คือเมื่อเห็นอริยสัจจ์ในเบื้องต้นแล้ว ก็ตั้งใจเจริญภาวนาต่อไป ประคองใจหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ พิจารณาอริยสัจจ์ไปตามลำดับให้ใจละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นจนทำนิพพานให้แจ้งได้ กิเลสต่างๆ ก็ค่อยๆ ล่อนหลุดไปจากใจตามลำดับจนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

มงคลหมู่ที่ 10 ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส

มงคลที่ 35 จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
มงคลที่ 36 จิตไม่โศก
มงคลที่ 37 จิตปราศจากธุลี
มงคลที่ 38 จิตเกษม
เมื่อเราอาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้วก็จะมีผลตามมาซึ่งเราอาจบรรยายได้หลายลักษณะ เช่น ไม่สกปรก ไม่เลอะเทอะ ไม่เหนียวเหนอะหนะสะอาดสดชื่นผ่องใส
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราปฏิบัติฝึกฝนตนเองจนกิเลสต่างๆ ล่อนหลุดไปจากใจแล้ว เราก็อาจบรรยายสภาพจิตของเราในขณะนั้นได้หลายลักษณะ เช่น
1.จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คือมีความหนักแน่นเหมือนขุนเขา ไม่ยินดียินร้ายในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์อีกต่อไป
2.จิตไม่โศก คือหลุดพ้นจากยางเหนียวแห่งบ่วงสิเน่หา ไม่ลุ่มหลงในความรักอีกต่อไป มีใจที่อิ่มเอิบ ไม่แห้งผาก ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
3.จิตปราศจากธุลี คือกิเลสต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียดอ่อนหลุดจากใจหมด เหมือนหยาดน้ำตกจากใบบัวอย่างนั้น
4.จิตเกษม คือมีความสุข ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลาย อันเนื่องจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร สามารถตัดโยคะ เครื่องผูกสัตว์ ไว้ในภพทั้งสามได้ขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง จึงมีอิสระเสรีเต็มที่ มีใจที่สะอาดผ่องใสบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เข้านิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

บุคคลใด
ปฏิบัติตามมงคลเหล่านี้แล้ว
ย่อมเป็นที่นอนเนื่อง
แห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย
เป็นผู้ไม่รู้จักแพ้
ในทุกที่ทุกสถาน
และย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง


Cr.พระมหาสมชาย  ฐานวุฑฺโฒ

กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :



คู่มือชีวิต ตอนที่ 1 มงคลชีวิต 38 ประการ


มงคลชีวิตทั้ง 38 ประการเปรียบเสมือนคู่มือในการดำเนินชีวิต   ที่ทำให้เราประสบความสุขและความสำเร็จ ทั้งทางโลกและทางธรรมได้นั้นเราต้องนำมาปฏิบัติ  เรามาศึกษากันเลย

คู่มือชีวิต ตอนที่ 1 มงคลชีวิต 38 ประการ 

ในการศึกษามงคลชีวิตให้เข้าใจง่าย ให้เราสมมุติตัวเองว่าเป็นพ่อแม่และถามตัวเองว่า เราอยากจะให้ลูกเราเป็นคนมีคุณสมบัติอย่างไร สมมุติตัวเราเองเป็นครู เราอยากจะให้ลูกศิษย์เราเป็นอย่างไร หรือสมมุติว่าเราเป็นพี่ เราอยากจะให้น้องเราเป็นคนอย่างไร หรือสมมุติว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ เราอยากจะให้พนักงานของเรามีคุณสมบัติอย่างไร
เราจะพบคำตอบว่า คนที่เราต้องการ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่สมบูรณ์นั้นคือ
1.ต้องเป็นคนดี พวกคนเกเร เกะกะเกกมะเหรกไม่มีใครชอบ ไม่มีใครต้องการ ทุกที่ต้องการแต่คนดี
2.ต้องเป็นคนที่มีความพร้อมในการฝึกตัวเอง มีปัจจัยสนับสนุนในการทำงานในการสร้างความดี
3.ต้องเป็นคนมีประโยชน์ มีความรู้ ทำงานได้ ทำงานเป็น มีวินัย พูดเป็น ไม่ใช่เป็นคนมีไฟแรงแต่ฝีมือไม่มี จับงานอะไรละก็พังทุกที อย่างนั้นไม่มีใครต้องการ
4.ต้องเป็นคนมีครอบครัวดี ครอบครัวอบอุ่นสามัคคี ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน และมีฐานะมั่นคง
5.ต้องเป็นคนมีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง แต่รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม
ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นคุณสมบัติของคนที่ใครๆ ก็ต้องการ แต่เราก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรคุณสมบัติเหล่านี้จึงจะเกิดขึ้นได้ ความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเราไว้แล้ว ซึ่งก็คือหลักมงคลชีวิตนั่นเอง
มงคลสูตรทั้ง 38 ข้อนั้น แบ่งได้เป็น 10 หมู่ 5 หมู่แรก เป็นข้อปฏิบัติในการสร้างชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องพบต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ส่วน 5 หมู่หลัง เป็นการฝึกใจโดยตรง ซึ่งเมื่อใครทำตามหลักมงคล 5 หมู่แรกได้แล้ว คุณสมบัติ 5 ข้อที่เราต้องการก็จะเกิดขึ้นมาดังนี้

มงคลหมู่ที่ 1 ฝึกให้เป็นคนดี
มงคลที่ 1 ไม่คบคนพาล
มงคลที่ 2 คบบัณฑิต
มงคลที่ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชา
นิสัยของคนเราจะมาจากสิ่งแวดล้อม คนรอบตัว เราคบกับคนอย่างไร บูชายกย่องใคร เราก็จะค่อยๆ มีนิสัยไปตามเขา ใครคบคนขี้เหล้าเป็นเพื่อนสนิท ไม่ช้าก็จะกลายเป็นไอ้ขี้เมาตามไป เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการจะเป็นคนดีจึงต้อง
1.ไม่คบคนพาล เป็นการป้องกันไม่ให้นิสัยไม่ดี ความเห็นผิดๆ ทั้งหลายจากคนพาลมาติดต่อเราเข้า และป้องกันไม่ให้ถูกคนพาลกลั่นแกล้งทำร้าย
2.คบบัณฑิต เพื่อถ่ายทอดเอานิสัยดีๆ คุณธรรมต่างๆ มาสู่ตัวเรา
3.บูชาบุคคลที่ควรบูชา เพื่อประคับประคองนิสัยที่ดีในตัวให้เจริญงอกงามขึ้น บุคคลที่ควรบูชาจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราดูและปฏิบัติตาม เป็นหลักใจของเราทีเดียว

มงคลหมู่ที่ 2 สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง
มงคลที่ 4 อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
มงคลที่ 5 มีบุญวาสนามาก่อน
มงคลที่ 6 ตั้งตนชอบ
คนเราทำไมจึงมีความแตกต่างกัน คนอายุเท่ากันแท้ๆ แต่ทำไมฝีมือไม่เท่ากัน ทำไมบางคนมีความรู้สูง ประสบความสำเร็จในชีวิตใหญ่โต แต่บางคนทำไมชีวิตเขาล้มเหลว เป็นเพราะอะไร
นั่นเป็นเพราะเขาฝึกตัวเองได้ไม่เท่ากัน
แล้วทำไมจึงฝึกตัวเองได้ไม่เท่ากันล่ะ
ก็เป็นเพราะว่าเขามีความพร้อม มีปัจจัยสนับสนุนในการฝึกตัวเองไม่เท่ากัน
อะไรนะเป็นปัจจัยสนับสนุนการฝึกตัวเอง
คนที่จะฝึกตัวเองได้ดีนั้น จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1.ต้องอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม รู้จักเลือกและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้พอเหมาะแก่ตน โบราณท่านเปรียบไว้ว่า
ต้นโพธิ์ต้นไทร หากปลูกในกระถางก็กลายเป็นไม้แคระ แต่ถ้าเราไปปลูกในที่ดินดีละก็ ไม่นานโตเป็นไม้ใหญ่โอบไม่รอบทีเดียว
คนเราก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่อำนวยแล้วก็ยากจะเอาดีได้ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมดี ก็มีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้มาก รอบๆ ตัวมีแต่คนดี เราก็มีโอกาสเป็นคนดี ถ่ายทอดคุณธรรมจากท่านได้สะดวก จะหาความรู้ จะฝึกฝีมือ จะฝึกวินัย ฝึกพูด ก็หาคนสอนง่าย บ้านช่องมีอยู่สะดวกสบาย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ก็ฝึกตัวเองได้ง่าย
2.ต้องมีบุญวาสนามาก่อน คือสร้างบุญมาดี ทั้งบุญเก่า บุญใหม่ 
บุญเก่าที่ทำมาในอดีตชาติ ก็ทำให้เป็นคนมีร่างกายแข็งแรง สติปัญญาเฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณไว อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน มีบุญคอยส่งอยู่ จะร่ำเรียนเขียนอ่าน ทำการงานอะไรก็ก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่น
บุญใหม่ที่ทำในชาตินี้ การตั้งใจขยันหมั่นเพียร หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็จะคอยช่วยหนุนอีกชั้นหนึ่ง
ใครที่บุญเก่ามี แต่บุญใหม่ไม่ยอมทำ ก็มีโอกาสพลาดได้เหมือนกัน ฉลาดนักแต่ขี้เกียจ สอบตกมาก็เยอะแยะแล้ว ถ้าบุญเก่าถึงจะน้อย แต่ขวนขวายสร้างบุญใหม่ก็ยังเอาตัวรอดก้าวหน้าได้ เช่น ปัญญาปานกลางแต่ขยัน ได้เกียรตินิยมก็มีตัวอย่างให้เห็น
ยิ่งถ้าใครบุญเก่าก็ดี บุญใหม่ก็ขวนขวายทำ ยิ่งก้าวหน้าได้เร็วเป็นทวีคูณ ฝึกตัวเองได้ง่าย
3.ต้องตั้งตนชอบ คือมีเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้อง เช่น จะเป็นครู เป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เป็นนักธุรกิจ หรืออะไรก็ได้ แต่ก็ต้องมีเป้าว่าจะตั้งฐานะให้ได้โดยอาชีพสุจริต ไม่เป็นคนโลเลปล่อยตัวเองไปตามดวง วันนี้อยากเป็นแพทย์ พรุ่งนี้เปลี่ยนใจเป็นวิศวกรดีกว่า มะรืนเปลี่ยนใจอีกแล้วจะเป็นนักธุรกิจอย่างนี้ล้มเหลวทั้งชาติ
คนที่ตั้งตนชอบจะทำให้มีเป้าหมาย จะขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝีมืออะไรก็ทำไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ เมื่อมีเป้าอย่างนี้แล้วก็ย่อมมีความกระตือรือร้น สามารถทุ่มเทพลังความสามารถของตน เพื่อฝึกตัวเองให้บรรลุเป้านั้นได้อย่างเต็มที่ ไม่เปะปะ จะมีความพร้อมในการฝึกตัวเองสูง

มงคลหมู่ที่ 3 ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์
มงคลที่ 7 เป็นพหูสูต
มงคลที่ 8 มีศิลปะ
มงคลที่ 9 มีวินัย
มงคลที่ 10 มีวาจาสุภาษิต
สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกมีมากสุดคณนา แต่มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐสุด เพราะสามารถฝึกตนให้บำเพ็ญประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองและสังคมได้เต็มที่
คนมีประโยชน์ที่ใครๆ ต้องการนั้น ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1.ต้องไม่เป็นคนโง่ เราจึงต้องฝึกตัวเองให้เป็นพหูสูต ใฝ่หาความรู้ “ฉลาดรู้”
2.ต้องไม่เป็นคนชนิดความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มีแต่ความรู้แต่พอให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง ทำไม่เป็น เราจึงต้องฝึกตัวเองให้มีศิลปะ ทำได้ ทำเป็น สามารถนำเอาความรู้มาใช้งานได้จริงๆ “ฉลาดทำ”
3.ต้องไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง เราจึงต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนมีวินัย เคารพต่อกฎระเบียบของหมู่คณะ และวินัยของตนเอง รู้จักควบคุมตนเองให้นำความรู้ความสามารถไปใช้ในทางที่ถูก “ฉลาดใช้”
4.ต้องไม่เป็นคนปากเปราะเราะร้าย คนเราต่อให้มีฝีมือดีแค่ไหน มีความรู้ความสามารถสูง แต่ถ้าพูดไม่เป็น เข้าที่ไหนบ่อนแตกที่นั่น พูดจาไม่เข้าหูคนก็ไม่มีใครต้องการ เราจึงต้องฝึกตัวเองให้มีวาจาสุภาษิต รู้จักควบคุมวาจา พูดเป็น
“ฉลาดพูด”
มงคลทั้ง 3 หมู่ รวม 10 ข้อข้างต้นนี้ เป็นการเตรียมตัวของเราให้พร้อมจะทำงาน เราจะลงมือทำงานจริงๆ จังๆ ในมงคลอีก 2 หมู่ที่อยู่ถัดไป โดยเริ่มที่คนใกล้ตัวก่อน ดังนี้

มงคลหมู่ที่ 4 บำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว
มงคลที่ 11 บำรุงบิดามารดา
มงคลที่ 12 เลี้ยงดูบุตร
มงคลที่ 13 สงเคราะห์ภรรยา (สามี)
มงคลที่ 14 ทำงานไม่คั่งค้าง
1.บำรุงบิดามารดา มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เลี้ยงดูปรนนิบัติท่านให้ได้รับความสุขสบาย
2.เลี้ยงดูบุตร รู้จักวิธีเลี้ยงลูกให้ลูกเป็นคนดี เป็นลูกแก้วนำชื่อเสียงเกียรติภูมิมาสู่พ่อแม่ วงศ์ตระกูล
3.สงเคราะห์ภรรยา (สามี) สามีภรรยาจะต้องรู้จักวิธีปฏิบัติตัวต่อกัน มีความเกรงอกเกรงใจ เคารพให้เกียรติกัน ไม่นอกใจกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้อบอุ่นแน่นแฟ้น ครอบครัวจะมีแต่ความร่มเย็นเพียงย่างเท้าเข้าบ้านก็มีความสุขใจแล้ว เข้าบ้านก็เหมือนขึ้นสวรรค์
4.ทำงานไม่คั่งค้าง ต้องทำงานไม่คั่งค้าง เพราะครอบครัวก็ต้องมีค่าใช้จ่าย จะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงลูก เลี้ยงภรรยา ก็ต้องใช้สตางค์ทั้งนั้น เราจึงมีหน้าที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยการทำงานไม่คั่งค้าง ต้องทำให้เสร็จ ทำให้สำเร็จ จะได้สร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นแก่ตนเองและครอบครัว
ใครปฏิบัติได้ครบ 4 ข้อนี้ ครอบครัวก็จะมั่นคงมีความสุข


มงคลหมู่ที่ 5 บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
มงคลที่ 15 บำเพ็ญทาน
มงคลที่ 16 ประพฤติธรรม
มงคลที่ 17 สงเคราะห์ญาติ
มงคลที่ 18 ทำงานไม่มีโทษ
นอกจากการปรับปรุงครอบครัวของเราให้มีความสุข มีความอบอุ่น มีฐานะที่มั่นคงแล้ว เราทุกคนยังมีหน้าที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ช่วยเหลือส่วนรวมด้วย โดย
1.บำเพ็ญทาน คือการให้ รู้จักสละทรัพย์สิ่งของที่เหมาะสมของตนแก่ผู้ที่สมควรได้รับ เป็นการกำจัดความตระหนี่ สร้างสมบุญกุศล ทำให้ใจของเราสูงขึ้นและเป็นการสร้างสันติสุขแก่มวลมนุษยชาติ
2.ประพฤติธรรม บางคนอาจนึกสงสัยว่า “เอ๊ะ! ทำไมประพฤติธรรมต้องมาอยู่ตรงหมู่นี้ด้วย ไม่เห็นเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ผิดลำดับหรือเปล่า” คำตอบก็คือ “เปล่า” พระองค์เรียงลำดับไว้ถูกต้องเหมาะสมทุกประการ งามพร้อมจริงๆ การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมนี้ ถ้าขาดการประพฤติธรรมแล้ว ก็จะไม่สมบูรณ์ไปได้เลย รายละเอียดจะยกไว้กล่าวตอนท้าย
3.สงเคราะห์ญาติ คือช่วยเหลือทั้งญาติสายโลหิตเดียวกัน ทั้งพี่ ป้า น้า อา ลุง หลาน รวมทั้งผู้รู้จักคุ้นเคยกัน ญาติร่วมจังหวัด ญาติร่วมประเทศ ญาติร่วมโลก เป็นการสร้างเสริมความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่นของสังคมให้เกิดขึ้น
4.ทำงานไม่มีโทษ ข้อนี้ชื่อก็บอกตรงตัวอยู่แล้ว ทำงานไม่มีโทษก็หมายถึงทำงานที่สุจริต ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร รวมทั้งงานที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น งานสาธารณกุศล งานสาธารณประโยชน์ และงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ
คราวนี้เรามาดูกันว่า การประพฤติธรรมทำไมต้องอยู่ในมงคลหมู่นี้
ประพฤติธรรม ก็คือ การปฏิบัติตามกุศลกรรมบถ 10 ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด
คนเราทั่วไปปกติเราก็ว่าเราเป็นคนดี รักษาศีลได้ เป็นคนใจเย็นคนหนึ่งแต่พอมาทำงานเพื่อสังคมเข้า เนื่องจากเป็นงานของส่วนรวม เพื่อส่วนรวมดังนั้นก็มักจะมีผู้ร่วมงานมาก พอคนมากก็มักจะมีความเห็นแตกต่างกันบ้าง มีผู้ไม่หวังดีมาคอยขัดขวางงานบ้าง จากเดิมว่าเป็นคนใจเย็นละ มันก็ชักจะมีอารมณ์ขึ้นมา ถ้าไม่ได้ประพฤติธรรมละก็ ประเดี๋ยวโกรธหนักเข้า เลยฆ่าทิ้งเสียเลย เราจึงจำเป็นต้องมีกุศลกรรมบถข้อ 1 คือไม่ฆ่าสัตว์ จะต้องแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ไม่แก้ปัญหาด้วยการฆ่า
หรืองานส่วนรวมผลประโยชน์มันก็มีมาก พอเป็นรัฐมนตรีเข้าเขาเอาเช็คมาให้บอกท่านเซ็นชื่อแกร็กเดียว เช็คเงินสด 10 ล้านบาทเอาไปเลย เดิมก็ว่าเป็นคนรักษาศีลละ แต่ถ้าไม่ได้ประพฤติธรรมละก็ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ของที่มันยั่วยวนใจมีอยู่มากมาย
หรืออีกอย่าง งานเพื่อส่วนรวมมันก็ต้องทำกันหลายคนทั้งหญิงทั้งชายทำงานขลุกกัน ถ้าไม่ได้ประพฤติธรรมเดี๋ยวก็เผลอ ปล่อยใจไปยุ่งเกี่ยวกันเข้า มีเมียน้อยบ้าง มีชู้บ้าง บ้านแตกครอบครัวระส่ำระส่าย
ในการทำงานเพื่อส่วนรวม มีสิ่งยั่วใจให้ทำผิดมากเหลือเกิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสั่งไว้ว่า ต้องประพฤติธรรม เราจะเห็นได้ว่าคำสอนของพระองค์สมบูรณ์จริงๆ งามพร้อมบริบูรณ์ไม่มีที่ติ ไพเราะทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย จะหาคำสอนของใครในโลกได้อย่างพระองค์ไม่มีอีกแล้ว
และที่เกิดปัญหากันในปัจจุบัน เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างว่า บางคนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่ลูกไปติดยาบ้า ไปติดเฮโรอีน กลายเป็นวัยรุ่นรถซิ่งบ้าง คนเกเรบ้างก็มี นั่นก็เพราะไม่ทำตามขั้นตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ยังบำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัวได้ไม่ดี ลูกตัวเองยังไม่รู้จักเลี้ยง ไม่ทรงสอน ยังบำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัวได้ไม่ดี ลูกตัวเองยังไม่รู้จักเลี้ยง ไม่รู้จักดูแล วันๆ วิ่งแต่ไปช่วยลูกคนอื่น บางทีก็เกิดผลเสียแก่ครอบครัวโดยไม่รู้ตัว
หรือที่มีข่าวเดี๋ยวนักสังคมสงเคราะห์คนนั้นคนนี้ หย่ากับสามีหรือภรรยาเสียแล้วเพราะไปมีชู้ นี่ก็เพราะไม่ทำตามขั้นตอนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ประพฤติธรรมแล้วจะไปสงเคราะห์สังคมเลยพลาด
มงคล 5 หมู่แรกนี้ เป็นเรื่องของการดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ ทำให้ตัวของเราเป็นคนดีที่ใครๆ หรือสังคมไหนๆ ก็ต้องการ
สำหรับมงคล 5 หมู่หลัง จะเป็นเรื่องของการฝึกใจโดยเฉพาะ จนกระทั่งหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ดังนี้


Cr. พระมหาสมชาย  ฐานวุฑฺโฒ

คู่มือชีวิต มงคลชีวิต 38 ประการ ตอนที่ 2 ต่อ...

กราบขอบพระคุณที่มาความสมบูรณ์ของบลอค :



มงคลที่ 38 จิตเกษม

ศึกษาย้อนหลังมงคลที่ 37 จิตปราศจากธุลี

ผู้ที่ถูกตีตรวนคุมขังอยู่

เมื่อได้รับอิสรภาพหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ

ย่อมมีอิสระเสรี มีความสุขกายสบายใจฉันใด

ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว

หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย

ก็ย่อมมีจิตเกษมฉันนั้น

 


ภัยของมนุษย์

ทันทีที่เกิดมาลืมตาดูโลก เราก็ต้องผจญกับภัยต่างๆ นานาชนิดที่พร้อมจะเอาให้ถึงตายอยู่ทุกวินาที เหมือนว่ายน้ำท่ามกลางความมืดอยู่กลางทะเลมหาโหด ภัยทั้งหลายเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.ภัยภายใน พอเกิดมาเราก็มีภัยชนิดนี้มาคอยดักรุมล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา

ข้างหลัง     คือชาติภัย      ภัยจากการเกิด

ข้างขวา     คือชราภัย      ภัยจากความแก่

ข้างซ้าย    คือพยาธิภัย    ภัยจากความเจ็บ

ข้างหน้า   คือมรณภัย     ภัยจากความตาย

ภัยเหล่านี้รุมล้อมเราทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ทุกด้านเลยทีเดียว ใครๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

2.ภัยภายนอก มีอยู่นับไม่ถ้วน เช่น

- ภัยจากคน เช่น ผัวร้าย เมียเลว ลูกชั่ว เพื่อนที่ไม่ดี คนพาล คนเกเร นับไม่ถ้วน

- ภัยจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฟ้าผ่า

- ภัยจากบาปกรรมตามทัน ถูกล้างผลาญทุกรูปแบบ เคยเบียดเบียนสัตว์ก็ทำให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย พิการ เคยโกหกไว้มากก็ทำให้ความจำเลอะเลือน ไปลักขโมยโกงเขาเขาจับได้ถูกขังคุกลงโทษ ก็สารพัดล่ะ

 

ทำไมเราจึงต้องพบกับภัยเหล่านี้ ?

การที่เราต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุดเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ก็ยังต้องรับทุกข์รับภัยกันอยู่ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านๆๆๆชาติมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะถูกผูกด้วย โยคะ แปลว่า เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1.กามโยคะ คือ ความยินดีพอใจในกามคุณ อยากฟังเพลงเพราะๆ อยากกินอาหารอร่อยๆ ได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ นุ่มนวลสวมสบาย อยากเห็นรูปงามๆ  ได้สัมผัสที่นุ่มนวล ได้แฟนสวยๆ มีสมบัติเยอะๆ ความใคร่ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหมือนเชือกเกลียวแรกที่ผูกมัดตัวเราไว้

2.ภวโยคะ คือ ความยินดีพอใจในรูปฌานและอรูปฌาน คนที่พ้นเชือกเกลียวแรก พ้นกามโยคะมาได้ ก็มาเจอเชือกเกลียวที่ 2 นี้ คือเมื่อได้เจอความสุขจากการที่ใจเริ่มสงบ ทำสมาธิจนได้รูปฌานหรืออรูปฌานก็พอใจยินดีติดอยู่ในความสุขจากอารมณ์ของฌาน ตายไปก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม หรืออรูปพรหม ซึ่งก็ยังไม่พ้นภัย หมดบุญก็ต้องลงมาเกิดเจอภัยกันอีก นี่เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 2

3.ทิฏฐิโยคะ คือความยึดถือความคิดเห็นที่ผิดๆ ของตนเอง เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตนบ้าง เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มีจริงบ้าง เห็นว่าตนเองจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนบ้าง ใจยังมืดอยู่ ยังไปหลงยึดความเห็นผิดๆ อยู่ สิ่งนี้เลยเป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 3

4.อวิชชาโยคะ คือความไม่รู้แจ้งในพระสัทธรรม ความสว่างของใจยังไม่พอ ยังไม่เห็นอริยสัจจ์ 4 ไม่เห็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย นี่ก็เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 4

ทั้ง 4 อย่างนี้ เป็นเหมือนเชือก 4 เกลียว ที่ผูกมัดตัวเราไว้กับภพทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารโดยไม่รู้จบสิ้น ทำให้ต้องมาพบกันภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุดทีเดียว

 

จิตเกษมคืออะไร ?

เกษม แปลว่า ปลอดภัย พ้นภัย สิ้นกิเลส มีความสุข

จิตเกษม จึงหมายถึง สภาพที่หมดกิเลสแล้ว โยคะเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ เชือกทั้ง 4 เกลียว ได้ถูกฟันขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง จิตเป็นอิสระเสรีทำให้คล่องตัวไม่ติดขัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใดๆ มาบีบคั้นได้อีก จึงมีความสุขอย่างแท้จริง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่จะมีจิตเกษมได้อย่างแท้จริง คือผู้ที่มีใจจรดนิ่งแช่อิ่มอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ซึ่งก็ได้แก่พระอรหันต์นั่นเอง

จิตของพระอรหันต์นั้น นอกจากจะหมดกิเลสแล้ว ก็ยังทำให้มีความรู้ความสามารถพิเศษอีกหลายประการ เช่น

 

อภิญญา 6

อภิญญา 6 คือความรู้อันยิ่งยวด เหนือความรู้จากการตรองด้วยหลักเหตุผลธรรมดา ได้แก่

1.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ย่อขยายตัวได้ หายตัวได้

2.ทิพยโสด มีหูทิพย์

3.เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

4.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้

5.จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุ) มีตาทิพย์

6.อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไปได้

ในอภิญญา 6 นี้ 5 ข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อที่ 6 เป็นโลกุตตรอภิญญา คุณวิเศษเหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง  ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงด้วยการบอกเล่าหรือสั่งสอนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนั้นๆ แล้วจึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง

 

วิชชา 3

วิชชา 3 คือความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษอันลึกซึ้งด้วยปัญญา ได้แก่ ญาณ คือความหยั่งรู้ เป็นความรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิภาวนาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด จะเข้าถึงธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเข้าถึงด้วยภาวนามยปัญญานี้เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละชีวิตปฏิบัติธรรมจนได้ภาวนามยปัญญา บรรลุวิชชา 3 นี้ในวันตรัสรู้ธรรม วิชชา 3 มีดังนี้

1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติตัวเองได้

2.จุตูปปาตญาณ คือตาทิพย์ ระลึกชาติคนอื่นได้

3.อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ทำให้หมดกิเลส

 

วิชชา 8

วิชชา 8 คือความรู้แจ้ง หรือความรู้วิเศษ 8 อย่าง คือ

1.วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร โดยไตรลักษณ์

2.มโนมยิทธิ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ทางใจ

3.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ย่อขยายตัวได้ หายตัวได้

4.ทิพยโสต มีหูทิพย์

5.เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

6.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้

7.ทิพยจักษุ มีตาทิพย์

8.อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำกิเลสให้สิ้นไปได้

 

ปฏิสัมภิทาญาณ 4

ปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่น ได้แก่

1.อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร

2.ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม สามารถสรุปข้อความได้อย่างกระชับ เก็บความสำคัญได้หมด

3.นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือแตกฉานเรื่องภาษาทุกภาษา ทั้งภาษาของมนุษย์และสัตว์ สามารถเข้าใจได้

4.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง

การปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้ เราทุกคนจึงควรตั้งใจฝึกฝนตนเองตามมงคลต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ทำอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ช้าเราก็จะเป็นผู้รู้จริงทำได้จริงผู้หนึ่ง มีจิตเกษมปลอดภัยจากภัยต่างๆ และมีความรู้ พิเศษสุดยอด เจริญรอยตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้

 

เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว

พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร

อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง

ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย

เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม

เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป

เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้

 

คติธรรมของ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

(หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ)  

 

 Cr.มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า


ติดตาม สรุปคำอธิบายหมู่มงคล ต่อ...


กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว มงคลชีวิต 38 ประการ มงคลที่ 38 จิตเกษม

บทความ มงคลชีวิต 38 ประการ มงคลที่ 38 จิตเกษม (ฉบับทางก้าวหน้า)

เพลงมงคลชีวิต 38 ประการ

 

 

 

 

 

มงคลที่ 37 จิตปราศจากธุลี


คลิกศึกษาย้อนหลังมงคลที่ 36 จิตไม่โศก 

บัวย่อมมีใบ

อันหยาดน้ำไม่อาจเกาะติดได้ฉันใด

ผู้ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว

ก็ย่อมมีจิต

อันธุลีกิเลสไม่อาจเกาะติดได้ฉันนั้น

 

มงคลชีวิต 38 ประการ มงคลที่ ๓๗ จิตปราศจากธุลี
 เผยแผ่เมื่อ 28 ก.ย. 2016

 

จิตปราศจากธุลีคืออะไร ?

ธุลี แปลว่า ฝุ่นละอองที่ละเอียดมาก ในที่นี้หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เกาะ ซึม แทรก หุ้มใจของเราอย่างซ่อนเร้นบางๆ ทำให้ความผุดผ่อง ความใสสะอาดเสียไปถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นไม่รู้

จิตปราศจากธุลี หมายถึง จิตที่หมดกิเลสแล้วทั้งหยาบทั้งละเอียดอย่างถอนรากถอนโคน ไม่มีทางฟื้นกลับเข้ามาในใจได้อีก ทำให้จิตสะอาดผ่องใสนุ่มนวลควรแก่การงาน ได้แก่จิตของพระอรหันต์

ประเภทของกิเลส

กิเลสในใจคนมีอยู่ 3 ตระกูลใหญ่ คือตระกูล ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสแต่ละตระกูลก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ที่หยาบมากๆ  เห็นได้ชัดเจนเหมือนขยะมูลฝอย และเล็กลงเหมือนฝุ่นผง จนถึงที่ละเอียดมากๆ เหมือนธุลี บางคนเจอแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลส มองไม่ออก ดังนี้
1.ตระกูลราคะหรือโลภะ คือความกำหนัดยินดี รัก อยากได้ ในคน สัตว์ สิ่งของ หรืออารมณ์ที่น่าใคร่ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด ดังนี้

1.1 อภิชฌาวิสมโลภะ ความโลภอย่างแรงจนกระทั่งแสดงออกมา เช่น ปล้น จี้ ลักขโมย
1.2 อภิชฌา ความเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น จ้องๆ จะเอาของเขาละ แต่ยังสงวนท่าที ไม่แสดงออก
1.3 โลภะ ความอยากได้ ความโลภ
1.4 กามราคะ ความพอใจในกาม รักเพศตรงข้าม ยังมีความรู้สึกทางเพศ หรือยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
1.5 รูปราคะ ความติดใจยินดีในอารมณ์ของรูปฌาน เป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้รูปฌานแล้ว
1.6 อรูปราคะ ความติดใจยินดีในอารมณ์ของอรูปฌาน เป็นเรื่องของฝู้ฝึกสมาธิจนได้อรูปฌานแล้ว
ข้อ 1.4-1.6 นี้แหละที่จัดเป็นกิเลสละเอียด ที่เรียกว่า ธุลีในตระกูลราคะ

2. ตระกูลโทสะ คือความไม่ชอบใจ ความคิดร้าย คิดทำลายผู้ที่ทำให้ตนโกรธ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด ดังนี้

2.1 พยาบาท ความผูกอาฆาต จองเวร อยากแก้แค้น ไม่ยอมอภัยบางทีข้ามภพข้ามชาติก็ยังไม่ยอม เช่น พระเทวทัตผูกพยาบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ภพในอดีตมา
2.2 โทสะ ความคิดร้าย คิดทำลาย เช่น คิดจะฆ่า คิดจะเตะ คิดจะด่า คิดจะเผาบ้าน คิดจะทำให้อาย
2.3 โกธะ ความเดือดดาลใจ คือคิดโกรธแต่ยังไม่ถึงกับคิดทำร้ายใคร
2.4 ปฏิฆะ ความขัดใจ เป็นความไม่พอใจลึกๆ ยังไม่ถึงกับโกรธ แต่มันขัดใจ

ข้อ 2.4 นี้แหละที่จัดเป็นธุลี กิเลสละเอียดในตระกูลโทสะ

3.ตระกูลโมหะ คือความหลง เป็นอาการที่จิตมืดมน ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักบุญบาป ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่างๆ ไม่ใช่โมหะ คนที่มีความรู้วิทยาการมากเพียงใด มีปริญญากี่ใบก็ตาม หากยังไม่รู้จักบุญบาป ไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำละก็ ได้ชื่อว่าตกอยู่ในโมหะทั้งนั้น กิเลสตระกูลโมหะ มีตั้งแต่หยาบถึงละเอียดดังนี้

3.1 มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ เห็นว่าบุญบาปไม่มี เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มี เป็นต้น
3.2 โมหะ ความหลงผิด ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
3.3 สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตน เช่น คิดว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ
3.4 วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม เช่น ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าบุญบาปมีจริงไหม ทำสมาธิแล้วจะหมดกิเลสจริงหรือ
3.5 สีสัพพตปรามาส ความติดอยู่ในศีลพรตอันงดงาม เช่น เชื่อหมอดู เชื่อศาลพระภูมิ  เชื่อพระเจ้า
3.6 มานะ ความถือตัว ถือเขาถือเรา
3.7 อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เป็นอาการที่จิตไหวกระเพื่อมน้อยๆ ยังไม่หยุดนิ่งสนิทบริบูรณ์ไม่ได้หมายถึงความฟุ้งซ่านไม่รู้เหนือรู้ใต้ อย่างที่คนทั่วไปเป็น
3.8 อวิชชา ความไม่รู้พระสัทธรรม เช่น ไม่รู้ว่าตัวเรามาจากไหน เกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน

ตั้งแต่ข้อ 3.3-3.8 เป็นธุลี กิเลสอย่างละเอียดในตระกูลโมหะ

โดยสรุป ธุลี หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดทั้ง 3 ตระกูล รวม 10 ประการ ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส
4. กามราคะ
5. ปฏิฆะ
6. รูปราคะ
7. อรูปราคะ
8. มานะ
9. อุทธัจจะ
10. อวิชชา

ทั้ง 10 ประการนี้เรียกว่า สังโยชน์ 10 พระโสดาบันจะสามารถละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ มีความเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยเต็มที่ ไม่มีความลังเลเลย ส่วนพระสกิทาคามีก็ละได้ 3 ข้อแรก เช่นเดียวกับพระโสดาบัน แต่กิเลสข้อที่เหลือเบาบางลง ส่วนพระอนาคามีละได้เพิ่มอีก 2 ข้อ คือกามราคะและปฏิฆะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ละสังโยชน์ธุลีกิเลสทั้ง 10 ประการ ได้อย่างสิ้นเชิง มีจิตผ่องใส บริสุทธิ์ตลอด

ระดับโทษของกิเลสทั้ง 3 ตระกูล

ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า คนจะรักกัน อยู่กันฉันสามีภรรยาถือว่าไม่ผิดศีลธรรม ขออย่าไปนอกใจหรือไปมีชู้ก็แล้วกัน โทษของราคะไม่ค่อยหนักนัก แต่การจะเลิกนั้นยากมาก คลายช้า คนลองรักกันแค่ไม่เห็นหน้าไม่กี่วันก็ทำท่าจะตายเอาให้ได้ บางทีตายแล้วเกิดใหม่ใจยังผูกพันกันอยู่เลย จะให้เลิกรักเลิกยาก

โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว เวลาโกรธขัดใจขึ้นมาฆ่ากันได้ บางทีถึงขนาดฆ่าพ่อฆ่าแม่ ทำอนันตริยกรรมก็ยังได้ มีโทษมาก แต่ทว่าคลายเร็ว ถ้าเขามาขอโทษขอโพย เอาอกเอาใจไม่นานก็หาย โทสะคลายเร็วอย่างนี้
โมหะ มีโทษมากด้วย คลายช้าด้วย ความหลง ความไม่รู้พระสัทธรรมนี้มีโทษมาก ทำให้เราหลงไปทำบาปตกนรกเสียย่ำแย่ เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทนทุกข์กันตลอดมาก็เพราะโมหะนี่เอง และแถมเจ้าโมหะความหลงนี้ยังคลายช้าอีกด้วย คนลงไม่รู้จักบุญไม่รู้จักบาปละก็ กว่าจะแก้ได้ท่านว่าหืดขึ้นคอเลย บางทีก็ต้องรอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไปโน้นมาโปรด ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะแก้หายหรือเปล่า

ข้อควรปฏิบัติ

เราต้องทราบว่ากิเลสทั้ง 3 ตระกูลนี้ มันฟู มันงอกงามได้ เช่น คนบางคนเดิมอาจจะเป็นคนไม่โลภอะไร พอใจอยู่กับของของตน แต่ไม่ระวังตัวเผลอไปหน่อยเดียว มีลาภยศมาล่อมากๆ เข้า อาจกลายเป็นคนโลภไปทำบาปทำชั่วเพราะความอยากได้ก็มี บางคนเดิมอาจเป็นคนใจเย็น แต่ถูกยุถูกแหย่มากๆ เข้ากิเลสก็อาจงอกงาม กลายเป็นคนเจ้าโทสะไปได้เหมือนกัน หรือเดิมก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป เข้าใจธรรมะบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บุญบาปก็แค่สงสัยว่ามีหรือไม่ แต่ไปคบคนพาลเข้ากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป ปฏิเสธนรกสวรรค์ คิดว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตัวเอง เป็นไปได้เหมือนกัน

เราจึงต้องระวังตัว ไม่ประมาทในการทำความดี ตั้งใจทำสมาธิภาวนาไปตามลำดับไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งก็คงจะทำใจหยุดใจนิ่งเกิดปัญญา เห็นอริยสัจจ์ทำนิพพานให้แจ้ง และกำจัดธุลีกิเลสทั้งหลายให้ล่อนหลุดไปจากใจ เป็นพระอรหันต์เข้าถึงสุขอันเป็นอมตะได้เหมือนกัน

ผู้ใดกำจัดโลภะได้แล้ว
ไม่โลภในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความโลภ
ความโลภย่อมหมดไปจากใจผู้นั้น
เหมือนหยาดน้ำตกจากใบบัว
ผู้ใดกำจัดโทสะได้แล้ว
ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย
โทสะย่อมหมดไปจากใจผู้นั้น
เหมือนผลตาลสุกหล่นจากขั้ว
ผู้ใดกำจัดโมหะได้แล้ว
ไม่หลงในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
ผู้นั้นย่อมกำจัดความหลงได้
เหมือนอาทิตย์อุทัย ขจัดความมืดให้หมดไปฉะนั้น

ขุ. อิติ. ๒๕/๒๖๘/๒๙๕-๒๙๖

Cr.มงคลชีวิต 38 ประการ (ฉบับทางก้าวหน้า)

ติดตามมงคลที่ 38 จิตเกษม ต่อ...


กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :

บทความมงคลชีวิต 38 ประการ มงคลที่ 37 จิตปราศจากธุลี (ฉบับทางก้าวหน้า)


มงคลที่ 36 จิตไม่โศก


สัตว์ทั้งหลายแม้พญาราชสีห์
หากติดบ่วงนายพราน ก็ย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ
ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานฉันใด
คนทั้งหลายแม้มีฤทธิ์อำนาจมากเพียงใด
หากติดบ่วงสิเน่หา ก็ย่อมสิ้นฤทธิ์หมดอำนาจ
มีจิตโศก เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานฉันนั้น



จิตโศกคืออะไร ?
คำว่า โศก มาจากภาษาบาลีว่า โสกะ แปลว่า แห้ง
จิตโศก จึงหมายถึง สภาพจิตที่แห้งมาก เหมือนดินแห้ง ใบไม้แห้งหมดความชุ่มชื้น เนื่องจากไม่สมหวังในความรัก ทำให้มีอาการเหี่ยวแห้งหม่นไหม้ โหยหาขึ้นในใจ ใจซึมเซาไม่อยากรับรู้อารมณ์อื่นใด ไม่อยากทำการงาน

เปมโต  ชายตี  โสโก
ความโศกเกิดจากความรัก

ขุ. ธ. ๒๕/๒๖/๔๓

จะเป็นรักคน สัตว์ หรือสิ่งของ ก็ทำให้เกิดความโศกได้ทั้งนั้น แต่ที่หนักก็มักจะเป็นเรื่องคน โดยเฉพาะความรักของชายหนุ่มหญิงสาว
ปกติใจของคนเราซนเหมือนลิง ชอบคิดโน่นคิดนี่ รับอารมณ์อย่างโน้น อย่างนี้ เดี๋ยวจะฟังเพลงเพราะๆ เดี๋ยวไม่เอาอีกแล้วกินขนมดีกว่า กินอิ่มแล้วไม่เอานอนดีกว่า เดี๋ยวเที่ยวดีกว่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่อยู่ในอารมณ์ใดนานๆ
แค่แปลก พอใจของเราไปเจออารมณ์รักเข้าเท่านั้นแหละ มันไม่เปลี่ยนติดหนับเหมือนลิงติดตังเลย
พูดถึงลิงติดตัง บางท่านอาจไม่เข้าใจ ตังก็คือยางไม้ที่เขาเอาไปเคี่ยวจนเหนียวหนับ แล้วเอาไปป้ายไว้ตามต้นไม้ ตามที่ต่างๆ ไว้ดักนก ดักสัตว์ เวลาสัตว์มาเกาะติดเข้าจะดิ้นไม่หลุด
ลิงเวลามาเจอตังเข้า มันจะใช้ขาข้างหนึ่งแหย่ดูตามประสาซน พอติดหนับดึงไม่ขึ้น ก็จะใช้ขาอีกข้างมาช่วยยัน ขาข้างนั้นก็ติดหนับเข้าอีก จะใช้ขาอีก 2 ข้างมาช่วย ก็ติดตังหมดทั้ง 4 ขา ใช้ปากช่วยดัน ปากก็ติดตังอีก ตกลงทั้ง 4 ขา และปากติดตังแน่นอยู่อย่างนั้น ดิ้นไม่หลุด รอให้คนมาจับไป นี่ลิงติดตัง
คนเราก็เหมือนกัน ลองได้รักละก็ จะเป็นหนุ่มรักสาวหรือสาวรักหนุ่มก็ตาม ทีแรกก็บอกว่าจีบไปอย่างนั้นเอง แต่พอผ่านไปพักเดียวเท่านั้นถอนตัวไม่ออก ร้อง “ไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวบ่ลง” กันเชียวละ
คำว่า เสน่ห์ ในภาษาไทยเราแปลว่า ความน่ารัก แต่คำคำนี้มาจากภาษาบาลีว่า สิเนหะ แปลว่า ยางเหนียว ตรงตัวเลย ถ้าใครมาบอกเราว่าแม่คนนั้นเสน่ห์แรงจัง ให้รู้ตัวไว้เลยว่าแม่นั่นน่ะยางเหนียวหนับเลย อย่าไปเข้าใกล้นะ เดี๋ยวติดยางเหนียวเข้าเป็นลิงติดตัง แล้วจะดิ้นไม่หลุด
ตอนรักเขายังไม่เท่าไร แต่ว่ารักเขาแล้วเขาไม่รักเราสิ หรือเมื่อความรักกลายเป็นอื่นเข้า หรือเขาตายจากเราไปก็ตาม ใจมันจะแห้งผากขึ้นมาทีเดียว แต่ก่อนเคยชอบรับอารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงตอนนี้ใครจะมาร้องเพลงให้ฟังก็รำคาญ จะชวนไปเที่ยวดูหนังก็รำคาญ จะร้อง จะรำ จะเล่นอะไร รำคาญไปหมด ข้าวยังไม่อยากจะกิน ใจมันแห้งผาก ซึมเซา รับอารมณ์ไม่ไหว คือ อาการที่เรียกว่า จิตโศก
บางคนอาจนึกว่า ก็แล้วถ้าความรักสมหวัง ก็คงไม่เป็นไร จิตไม่โศกละซี แต่ในความเป็นจริงน่ะมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แตกดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นลงว่าใครได้รักอะไรเข้าละก็ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของ ก็ให้เตรียมตัวโศกเอาไว้ได้ ถ้ารักมากก็โศกมาก รักน้อยก็โศกน้อย รักหลายๆ อย่าง ก็โศกถี่หน่อย นี่เป็นอย่างนี้ โบราณท่านสรุปเตือนสติไว้ว่า
ผู้ใดมีความรักถึง      100          ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง          100
ผู้ใดมีความรักถึง         90         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง            90
ผู้ใดมีความรักถึง         80         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง            80
ผู้ใดมีความรักถึง         40         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง            40
ผู้ใดมีความรักถึง         20         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง            20
ผู้ใดมีความรักถึง         10         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง            10
ผู้ใดมีความรักถึง           5         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง               5  
ผู้ใดมีความรักถึง           4         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง               4
ผู้ใดมีความรักถึง           3         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง               3
ผู้ใดมีความรักถึง           2         ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง               2
ผู้ใดมีความรักถึง          1          ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง              1
ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก  ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์  เรากล่าวว่าผู้นั้น
ไม่มีความเศร้าโศก  ปราศจากกิเลสดุจธุลี  ไม่มีอุปายาส  คือความตรอมใจ  ความกลุ้มใจ

ขุ. อุ. ๒๕/๑๗๖/๒๒๕

โบราณท่านสรุปเป็นข้อเตือนใจไว้ว่า
มากรักก็มากน้ำตา     หมดรักก็หมดน้ำตา
มากรักก็มากทุกข์     หมดรักก็หมดทุกข์  

ข้อควรปฏิบัติ
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้วขณะที่ใจท่านจรดอยู่ในนิพพานความรักเข้าไปรบกวนท่านไม่ได้ ตัดรักได้ ใจท่านจึงไม่แห้ง ไม่มีโศก
พวกเราปุถุชนทั่วไป แม้ยังไม่สามารถตัดรักได้เด็ดขาด แต่ถ้าหมั่นทำสมาธิ เจริญมรณานุสติเป็นประจำ ก็จะทำให้ความรักมามีอิทธิพลเหนือใจเราไม่ได้มาก มีสติดี มีความเด็ดเดี่ยว ก็จะมีจิตโศกน้อยกว่าคนทั่วไป อาการไม่หนักหนาสาหัสนัก เพราะนึกถึงความตายแล้วทำให้ใจคลายออกจากรัก ซึ่งเป็นต้นทางของความโศก พอคิดว่าเราเองก็ต้องตาย จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เท่านี้ก็เริ่มจะได้คิด ความโศกความรักเริ่มหมดไปจากใจ มีสติมาพิจารณาตนเอง ไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดี จากนั้นตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาเต็มที่ ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้ และตัดความรัก ตัดความโศกออกจากใจได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด

ข้อเตือนใจ 
“ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ อันมากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก
เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ เหล่านี้ย่อมไม่มี
ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก
เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารใดในโลกไหนๆ ให้เป็นที่รักเลย”

ขุ. อุ. ๒๕/๑๗๖/๒๒๕-๒๒๖

Cr.มงคลชีวิต 38 ประการ (ฉบับทางก้าวหน้า)

ติดตามมงคลที่ 37  จิตปราศจากธุลี ต่อ...

กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :

บทความมงคลชีวิต 38 ประการ มงคลที่ 36 จิตไม่โศก (ฉบับทางก้าวหน้า)

คู่มือชีวิต ตอนที่ 2 มงคลชีวิต 38 ประการ

ศึกษาย้อนหลังคู่มือชีวิต ตอนที่ 1 มงคลชีวิต 38 ประการ คู่มือชีวิต ตอนที่ 2 มงคลชีวิต 38 ประการ มงคลหมู่ที่ 6 ปรับเตรียมสภาพใจให้พร้อม มงคลที...